สายตาไม่เท่ากัน (Anisometropia) คืออะไร
หลายคนอาจเคยสังเกตว่าตัวเองมองเห็นไม่เท่ากันสองข้าง บางทีข้างหนึ่งมองชัด อีกข้างกลับเบลอ ทั้งที่อยู่ในระยะเดียวกัน อาการแบบนี้เรียกว่า ภาวะสายตาไม่เท่ากัน หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Anisometropia
โดยบทความนี้ ORRA ร้านตัดแว่นเลนส์โปรเกรสซีฟ จะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาตา 2 ข้างสายตาไม่เท่ากัน ว่าคืออะไร ผิดปกติหรือไม่ เกิดจากสาเหตุใด มีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร
โดยจะมุ่งเน้นที่การแก้ไขปัญหาด้วยแว่นสายตาซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด รวมถึงคะแนะนำในการตัดแว่นสายตาสำหรับผู้ที่สายตาไม่เท่ากันดังนี้
ORRA จะขออธิบายแบบง่าย ๆ ภาวะสายตาไม่เท่ากันคือ การที่ค่าสายตาของตาซ้ายและขวาไม่เท่ากัน
ซึ่งอาจเป็นสายตาสั้นต่างกัน ยาวต่างกัน หรือข้างหนึ่งปกติแต่อีกข้างมีค่าสายตายาว เช่น ตาข้างขวามีค่าสายตา -3.00D และข้างซ้ายมีค่าสายตา -6.50 D หรือตาข้างขวามีค่าสายตา +1.50 D และตาข้างซ้ายมีค่าสายตา +4.50 D หรือตาข้างขวามีสายตาปกติและตาข้างซ้ายมีค่าสายตา -3.00 D เป็นต้น
ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่าตาซ้ายกับขวาเปรียบเหมือนกล้องสองตัว ถ้ากล้องหนึ่งโฟกัสดี แต่อีกกล้องโฟกัสเบี้ยว ภาพที่ออกมาย่อมไม่คมชัด และสมองต้องทำงานหนักเพื่อรวมภาพให้ตรงกัน
ภาวะนี้พบได้บ่อยในทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยตรวจสายตาอย่างละเอียด หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว มึนตา หรือในเด็กเล็กอาจนำไปสู่ภาวะ ตาขี้เกียจ ได้
อาการของคนที่มีสายตาไม่เท่ากัน
ผู้ที่มีสายตาไม่เท่ากันมักไม่รู้ตัวในช่วงแรก เพราะสมองของเราฉลาดมาก มันจะเลือกใช้ตาข้างที่มองเห็นชัดกว่าโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่รู้สึกผิดปกติจนกว่าจะเริ่มมีอาการชัดเจน เช่น
- มองภาพเบลอหรือเห็นภาพซ้อนโดยเฉพาะเวลาจ้องนาน
- ปวดหัวเมื่ออ่านหนังสือหรือใช้โทรศัพท์เป็นเวลานาน
- รู้สึกมึนงงหรือตาล้าเวลาเปลี่ยนระยะมองใกล้ไกล
- รู้สึกเหมือนภาพมีเงาซ้อน โดยเฉพาะตอนกลางคืนหรือแสงน้อย
นักทัศนมาตรของ ORRA จะขออธิบายกับลูกค้าว่า ถ้าเริ่มรู้สึกว่ามองข้างหนึ่งชัดกว่าอีกข้าง ไม่ว่าจะชัดมากหรือน้อย อย่ารอให้ตาล้า ควรเข้ามาตรวจสายตาให้แน่ใจ เพราะการตรวจใช้เวลาไม่นาน แต่ช่วยป้องกันปัญหาระยะยาวได้มาก
สาเหตุของสายตาไม่เท่ากัน
ภาวะนี้มีได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคร้ายแรง แต่เกิดจากลักษณะเฉพาะของดวงตาแต่ละคน
- พันธุกรรม
บางคนเกิดมามีโครงสร้างลูกตาหรือความโค้งกระจกตาไม่เท่ากัน ทำให้ค่าสายตาต่างกันตั้งแต่เด็ก - พฤติกรรมการใช้สายตา
เช่น อ่านหนังสือใกล้เกินไป ใช้สายตาข้างเดิมบ่อย หรือจ้องจอมือถือข้างเดียวเป็นประจำ - ความเสื่อมของดวงตาตามอายุ
โดยเฉพาะในวัย 38 ปีขึ้นไป ซึ่งกล้ามเนื้อตาเริ่มทำงานลดลง ส่งผลให้ข้างหนึ่งโฟกัสได้ไม่ดีเท่าอีกข้าง - การบาดเจ็บหรือโรคทางตา
เช่น กระจกตาโป่งพอง หรือโรคทางจอประสาทตาที่ทำให้การรับภาพไม่สมดุลกัน
สิ่งสำคัญคืออย่าประเมินตัวเองจากอาการเพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งค่าสายตาอาจต่างกันเพียงเล็กน้อยแต่ส่งผลต่อการมองเห็นอย่างมาก
อันตรายจากภาวะสายตาไม่เท่ากัน
แม้ภาวะสายตาไม่เท่ากันจะไม่ใช่โรคอันตราย แต่หากละเลย ไม่ตรวจและแก้ไข อาจก่อผลเสียในระยะยาว
- ในเด็กที่สายตาไม่เท่ากัน และมีตาข้างหนึ่งมองเห็นปกติ เช่นตาข้างนึงสั้น -7.00D แต่อีกข้างสั้น -0.50D เด็กมักจะไม่เห็นความผิดปกติของตาอีกข้างที่มองได้แย่กว่า ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี จะทำเกิดตาขี้เกียจได้ เพราะฉะนั้น เด็กๆ ควรได้รับการตรวจสายตาทุกๆ 2 ปีเป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันโรคตาขี้เกียจ
- ในผู้ใหญ่ อาจเกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ หรือภาพบิดเบือนเมื่อค่าสายตาต่างกันมาก
- หากจ่ายเลนส์ผิด หรือเลือกแว่นที่ไม่เหมาะกับค่าสายตาแต่ละข้าง จะทำให้ไม่สบายตาและมองไม่ชัด
นักทัศนมาตรของ ORRA จึงเน้นเสมอว่า อย่ารอให้ปวดตาหรือเวียนหัวก่อนถึงจะมาตรวจ การตรวจสายตาเป็นประจำทุกปีช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ได้ในอนาคต
วิธีตรวจว่าสายตาไม่เท่ากันหรือไม่
หากสงสัยว่าตัวเองมีภาวะสายตาไม่เท่ากัน มีวิธีตรวจเบื้องต้นง่าย ๆ ที่ทำได้เอง เช่น
- ปิดตาทีละข้างแล้วลองมองวัตถุในระยะเท่ากัน หากรู้สึกว่าข้างหนึ่งชัดกว่าอีกข้าง มีโอกาสที่สายตาจะไม่เท่ากัน
- หรือถ้าใส่แว่นอยู่แล้ว แต่รู้สึกมึนตา ปวดหัว หรือมองไม่คมชัดเท่าเดิม อาจเกิดจากค่าสายตาเปลี่ยนไม่เท่ากัน
แต่การสังเกตด้วยตัวเองมักไม่แม่นยำ โดยเฉพาะในรายที่ความต่างมีไม่มาก นักทัศนมาตรของ ORRA แนะนำให้ตรวจวัดด้วยเครื่องมือเฉพาะ
ซึ่งสามารถตรวจละเอียดได้ถึงระดับจุดโฟกัสของดวงตา วัดแรงกล้ามเนื้อตา และวิเคราะห์การทำงานร่วมกันของตาทั้งสองข้าง เพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำและออกแบบเลนส์ได้ตรงกับการมองเห็นจริง
สายตาไม่เท่ากันควรใส่แว่นแบบไหน
การที่สายตาไม่เท่ากันอาจแก้ด้วยคอนแทคเลนส์ หรือการทำเลสิค แต่สำหรับผู้ที่มีสายตาไม่เท่ากัน การใส่แว่นสายตา คือทางเลือกที่ปลอดภัยและแม่นยำที่สุดในการแก้ไข โดยเฉพาะแว่นที่ออกแบบเฉพาะบุคคล
แว่นสายตาทั่วไปหรือเลนส์สำเร็จรูปมักมีค่าสายตาเท่ากันทั้งสองข้าง ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาแตกต่างกัน เพราะจะทำให้การมองเห็นไม่สมดุล อาจเกิดอาการเวียนหัวหรือมึนตาได้
ในทางกลับกัน แว่นสายตาเลนส์ Lab หรือเลนส์เฉพาะบุคคล สามารถออกแบบให้แต่ละข้างมีค่าสายตาไม่เท่ากันได้อย่างละเอียด ทั้งในแง่กำลังเลนส์และความโค้ง เพื่อให้ภาพที่เข้าสู่สมองทั้งสองข้างชัดและสมดุลกันมากที่สุด
นักทัศนมาตรของ ORRA ขอแนะนำว่า สำหรับคนที่สายตาไม่เท่ากัน การเลือกเลนส์เฉพาะบุคคลสำคัญมาก เพราะช่วยให้เห็นชัดโดยไม่เวียนหัว และถ้าอยากสบายตาในทุกระยะ การใช้เลนส์โปรเกรสซีฟก็ช่วยให้มองใกล้ กลาง ไกล ได้ในแว่นเดียว
ข้อดีของการตัดแว่นเลนส์ Lab ที่ ORRA
เลนส์ Lab ต่างจากเลนส์สำเร็จรูปตรงที่ออกแบบและผลิตตามค่าสายตาเฉพาะของแต่ละคน ซึ่งมีข้อดีชัดเจน
- วัดสายตาและออกแบบเลนส์โดยนักทัศนมาตรที่มีประสบการณ์
- ใส่ค่าสายตาแต่ละข้างไม่เท่ากันได้อย่างแม่นยำ
- มีเลนส์ให้เลือกหลายแบบ ทั้งเลนส์ชั้นเดียว เลนส์สองชั้น และเลนส์โปรเกรสซีฟ
- สามารถเพิ่มฟังก์ชันเสริม เช่น กรองแสงสีฟ้า เคลือบป้องกันรอย หรือป้องกันรังสี UV
- มองเห็นภาพชัด ลื่นตา และสบายในการใช้งานทุกวัน
หลายคนที่เคยมีปัญหา ใส่แว่นแล้วมึนหัว เมื่อเปลี่ยนมาตัดเลนส์ Lab กับ ORRA มักพูดตรงกันว่า ต่างกันมาก เหมือนโลกคมชัดขึ้นทันทีเพราะเลนส์ถูกออกแบบให้เข้ากับลักษณะสายตาและพฤติกรรมการมองเห็นของแต่ละคนจริง ๆ
เลนส์โปรเกรสซีฟ ทางเลือกที่เหนือกว่าแว่นทั่วไป
สำหรับผู้ที่มีทั้งภาวะสายตาไม่เท่ากันและเริ่มมีอาการมองใกล้ไม่ชัดในวัย 40 ขึ้นไป การเลือกใช้ เลนส์โปรเกรสซีฟ ถือเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์มากที่สุด
เลนส์โปรเกรสซีฟช่วยให้มองเห็นได้ทุกระยะโดยไม่ต้องเปลี่ยนแว่น ไม่ว่าจะมองใกล้ มองกลาง หรือมองไกล ภาพที่เห็นจะต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติ ไม่สะดุดเหมือนเลนส์สองชั้นแบบเดิม นอกจากนี้ยังสามารถผลิตในรูปแบบเลนส์เฉพาะบุคคลได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ ORRA เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
นักทัศนมาตรของ ORRA มักบอกกับลูกค้าว่า ถ้าใครมีทั้งสายตาไม่เท่ากันและเริ่มมองใกล้ไม่ชัด เลนส์โปรเกรสซีฟจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องพกแว่นหลายคู่ และยังได้ภาพที่คมชัดทุกระยะในแว่นเดียว
ทำไมควรตรวจและตัดแว่นกับ ORRA
ORRA เป็นศูนย์เลนส์โปรเกรสซีฟและเลนส์เฉพาะบุคคลแห่งแรกในประเทศไทย
ที่นี่ไม่ได้เน้นขายแว่นเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับ “การมองเห็นอย่างยั่งยืน”
ทุกขั้นตอนตั้งแต่การวัดสายตา การคำนวณค่าสายตา ไปจนถึงการออกแบบเลนส์ จะดูแลโดยนักทัศนมาตรที่มีประสบการณ์โดยตรง และใช้เครื่องมือดิจิทัลความละเอียดสูงระดับไมครอน
ลูกค้าสามารถทดลองเลนส์จริงก่อนตัดสินใจ เพื่อให้มั่นใจว่าเลนส์ที่เลือกเหมาะกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญ ORRA มีบริการหลังการขายครบถ้วน ทั้งการปรับแว่น การตรวจซ้ำ และการรับประกันคุณภาพ
บทสรุป
ภาวะสายตาไม่เท่ากันไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ หากได้รับการตรวจและเลือกเลนส์ที่เหมาะสมโดยนักทัศนมาตร มืออาชีพอย่าง ORRA จะช่วยให้การมองเห็นกลับมาชัดเจน สมดุล และสบายตาอีกครั้ง
และสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในทุกระยะของการมองเห็น เลนส์โปรเกรสซีฟจาก ORRA คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ เพราะเลนส์ที่ออกแบบเฉพาะคุณ คือเลนส์ที่ให้ภาพชัดที่สุดสำหรับดวงตาของคุณเอง
FAQ คำถามที่พบบ่อย
สายตาไม่เท่ากันอันตรายไหม
ไม่อันตรายหากได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง แต่ควรตรวจโดยนักทัศนมาตรเพื่อป้องกันปัญหาการมองเห็นในระยะยาว
สายตาไม่เท่ากันควรใส่แว่นแบบไหน
ควรใส่แว่นเลนส์เฉพาะบุคคลหรือเลนส์ Lab ซึ่งสามารถปรับค่าสายตาแต่ละข้างได้อย่างแม่นยำ
เลนส์โปรเกรสซีฟช่วยแก้สายตาไม่เท่ากันได้ไหม
ช่วยได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องการมองเห็นทุกระยะในแว่นเดียวและไม่ต้องเปลี่ยนแว่นหลายคู่
เด็กที่สายตาไม่เท่ากันควรตรวจเมื่อไหร่
ควรตรวจทุก 1–2 ปี เพื่อป้องกันภาวะตาขี้เกียจและปัญหาการมองเห็นที่อาจเกิดขึ้น
ตรวจสายตาที่ ORRA ใช้เวลานานไหม
การตรวจโดยนักทัศนมาตรใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 30–45 นาที ได้ผลแม่นยำและออกแบบเลนส์ได้ทันที
ปรึกษาเรื่องสายตาไม่เท่ากัน
สายตาไม่เท่ากันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร และไม่อันตรายหากใส่แว่นที่มีค่าของเลนส์เหมาะกับค่าสายตาแต่ละข้าง
โดยแว่นที่ควรใส่ควรเป็นแว่นสั่งตัดเฉพาะบุคคลหรือเลนส์ Lab จากร้านตัดแว่นที่มีนักทัศนมาตรหรือหมอสายตาเป็นผู้วัดสายตาให้คำแนะนำและตัดแว่นให้
และหากท่านต้องการตัดแว่นโปรเกรสซีฟ มาที่ ORRA ศูนย์เลนส์โปรเกรสซีฟ แห่งแรกในประเทศไทย เรามีความเชี่ยวชาญจากประสบการณ์ตัดแว่นโปรเกรสซีฟมาแล้วกว่า 20,000 คู่
ทักเราที่นี่ค่ะ LINE:@orra-od
